หน้าหลัก
ผลิตภัณฑ์และบริการ
โปรโมชั่น
ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจ
SME Focus Magazine
งานสัมมนา
โครงการอบรม
คำนวณสินเชื่อเบื้องต้น
ค้นหาจุดบริการ
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

FOLLOW US Krungthai SME​


Krungthai SME

ผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ต่อธุรกิจสีเขียวในยุคใหม่

 

ผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ต่อธุรกิจสีเขียวในยุคใหม่

การกลับมาของโดนัล ทรัมป์ในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 พร้อมความเชื่อที่ว่า “โลกร้อนเป็นเรื่องลวงโลก” และเข้ามาคว่ำ (เกือบ) ทุกนโยบายที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เรียกได้ว่ารื้อแบบถอนรากกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าภาคธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่ ต่างได้รับผลกระทบถ้วนหน้า โดยเฉพาะธุรกิจสีเขียวด้านความยั่งยืน

ซึ่งก่อนหน้านี้อย่างที่ลุงเคยเขียนถึงแนวโน้มธุรกิจทั่วโลก ที่นำเอาหลักการ ESG หรือ Environmental (สิ่งแวดล้อม) Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) ที่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน มาปรับใช้เกือบทุกองค์กร แต่นับตั้งแต่ที่ทรัมป์พาสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ และเดินหน้าสนับสนุนพลังงานฟอสซิล รวมถึงลดมาตรฐานการปล่อยมลพิษ ฯลฯ เป็นการเปลี่ยนทิศทางโลกให้ถอยหลังกลับไปยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรมเสียอย่างนั้น  อย่างไรมาดูกัน

 

เริ่มจากการถอนตัวจากข้อตกลงปารีส 

สิ่งแรกที่ทรัมป์เลือกทำหลังจากเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 นั่นก็คือ การพาสหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสเป็นครั้งที่ 2 นั่นเอง หลังจากที่เคยถอนตัวมาแล้วในสมัยแรก แน่นอนว่าการถอนตัวครั้งนี้ส่งผลให้ทั่วโลกเกิดความกังวลเกี่ยวกับความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ลดลงให้เหลือศูนย์ภายในปี 2050 เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ซึ่งอาจจะทำให้หลายประเทศต้องหันมาทบทวนนโนบายด้านสิ่งแวดล้อมของตัวเอง ว่าควรไปในทิศทางไหนดี โดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนา และประเทศที่ยังต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมฟอสซิล งานนี้มีไขว้เขวกันบ้างแหละ

ซึ่งก็สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ สสว. ที่คาดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลกระทบทางตรง และทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในภาคการผลิต และอุตสาหกรรมการส่งออก การที่ทรัมป์ชะลอการใช้กฎหมาย Clean Competition Act อาจทำให้ SME ไทยในอุตสาหกรรมการผลิต ขนส่ง และเกษตรกรรม ที่ยังมีการปล่อยคาร์บอนจำนวนมากอยู่ ได้รับประโยชน์ในระยะสั้น เพราะจะทำให้ประเทศไทยสามารถยืดเวลาในการทำตามเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ได้นั่นเอง แต่ในระยะยาวประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับแรงกดดันจากตลาดส่งออกจากสหภาพยุโรปที่ยังคงเข้มงวดกับมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) และอาจทำให้สินค้าจากไทยถูกเก็บภาษีคาร์บอนเพิ่มขึ้น และเมื่อถึงจุดที่ตลาดโลกกลับไปให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง ถึงตอนนั้นไทยอาจปรับตัวไม่ทันแล้วก็ได้

 

ผลกระทบด้านเงินทุนและการสนับสนุนทางการเงินต่อประเทศกำลังพัฒนา

ก่อนหน้านี้รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนเงินทุนกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์ ให้กับกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate Fund) ต่อประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่เมื่อทรัมป์กลับมาดำรงตำแหน่ง เงินทุนดังกล่าวกลับถูกระงับซึ่งปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นผู้สนับสนุนประมาณ 30% ของกองทุนนี้เลยทีเดียว ส่งผลให้เงินทุนด้านพลังงานสะอาด ธุรกิจและโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของไทยที่ต้องอาศัยเงินทุนจากสหรัฐฯ ก็อาจได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ส่วนการตั้งกำแพงภาษีกับนานาประเทศ อาจไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมโดยตรง แต่เมื่อครั้งที่สหรัฐฯ และจีนเปิดสงครามการค้าในการดำรงตำแหน่งสมัยแรกของทรัมป์ ก็ส่งผลให้มีขยะทะลักเข้าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมาก รวมถึงไทย ต้องจับตาดูว่าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ เพราะขยะและวัสดุรีไซเคิลก็เป็นหนึ่งในสินค้านำเข้าและส่งออกสำคัญของทั้งสองประเทศ

แม้ว่านโยบายของทรัมป์จะทำให้แนวโน้มด้านสิ่งแวดล้อมชะลอตัวลง แต่กระแสโลกยังคงมุ่งหน้าไปสู่ความยั่งยืน สหภาพยุโรป จีน และอีกหลายประเทศยังคงเดินหน้าสู่ความยั่งยืนและมุ่งมั่นที่จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม นั่นหมายความว่าไทยเองก็ควรมองไปข้างหน้า และเตรียมความพร้อมให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลกด้วยเช่นกัน 

 

กรุงไทยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อความยั่งยืน (ESG) พร้อมเป็นแรงสนับสนุนให้ธุรกิจของคุณก้าวสู่อนาคตที่แข็งแกร่ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สนใจคลิก https://krungthai.com/link/sme-esg-fb